หากเปรียบเทียบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับกระดานหมากรุก กัมพูชาอาจเป็นทั้งหมากตัวสำคัญที่ขยับได้หลากหลาย แต่ก็พร้อมจะตกเป็นเป้าหมากล้อมอยู่เสมอ ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของกัมพูชานั้นเต็มไปด้วยบาดแผล การต่อรอง และความไม่ไว้ใจทั้งจากภายในและภายนอก นี่จึงไม่ใช่แค่ “ความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน” แต่เป็นการเดินเกมอย่างระแวดระวังในสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์ที่มีเดิมพันสูงทั้งอำนาจ ผลประโยชน์ และความอยู่รอดของชาติ
1. ปมประวัติศาสตร์: มรดกของเส้นเขตแดนและการล่มสลายของอาณาจักร
กัมพูชาเคยเป็น “ขอมผู้ยิ่งใหญ่” ที่ครองอำนาจในสุวรรณภูมินานนับศตวรรษ
แต่การเสื่อมถอยของจักรวรรดิอังกอร์ (นครวัด-นครธม) ไม่ได้เพียงทำให้กัมพูชาเสียพื้นที่และอิทธิพลเท่านั้น หากแต่ยังฝากบาดแผลทางจิตวิญญาณและอัตลักษณ์ชาติ
ความรู้สึกสูญเสีย “แผ่นดินเก่า” (Lost Land) โดยเฉพาะดินแดนที่ปัจจุบันอยู่ในไทย ลาว และเวียดนาม ยังคงเป็นปมลึกในความทรงจำของชาวกัมพูชา
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านกำหนดพรมแดนใหม่ในยุคอาณานิคม กัมพูชาต้องรับเงื่อนไขที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้เลือก นี่คือรากเหง้าของข้อพิพาทเขตแดนที่ไม่รู้จบ
2. ดินแดนคือศักดิ์ศรี ชาติพันธุ์คือบาดแผล
ความขัดแย้งระหว่างกัมพูชาและเพื่อนบ้าน เช่น ไทยหรือเวียดนาม ไม่ใช่แค่เรื่องเส้นบนแผนที่ แต่เกี่ยวพันกับศักดิ์ศรีของชาติพันธุ์ และอารมณ์ร่วมของสังคม
กรณี “ปราสาทพระวิหาร” เป็นตัวอย่างชัดเจนที่ประเด็นดินแดนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ทางอัตลักษณ์
คนกัมพูชาจำนวนมากรู้สึกว่าพวกเขา “ถูกรุกล้ำ” หรือ “ถูกเอารัดเอาเปรียบ” มาอย่างต่อเนื่อง—ขณะที่เพื่อนบ้านมักเห็นว่ากัมพูชากำลังเรียกร้องหรือสร้างปัญหาเกินจริง
ความรู้สึกนี้ส่งต่อเป็นพลังทางการเมืองที่รัฐใช้ปลุกเร้าให้ประชาชนรวมพลังกันต้าน “ศัตรูภายนอก”
ขณะเดียวกันก็สร้างม่านควันบังความขัดแย้งหรือปัญหาภายในประเทศ
3. อำนาจภายในและเกมภายนอก: ผู้นำกับการเลือกใช้นโยบาย “แข็งกร้าว”
กัมพูชาไม่ใช่ประเทศที่มีอำนาจมากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
แต่รัฐบาล (โดยเฉพาะยุคฮุนเซน) รู้จักใช้ “การมีปัญหากับเพื่อนบ้าน” เป็นเครื่องมือชั้นดีในการรักษาอำนาจ
เมื่อใดที่เกิดแรงกดดันทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมืองในประเทศ ประเด็นพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้านจะถูกหยิบขึ้นมาใช้ทันที
ปรากฏการณ์นี้คล้ายกับสิ่งที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่า “Rally around the flag”—การเบนความสนใจของประชาชนจากปัญหาภายใน ไปสู่ความขัดแย้งภายนอก
ผู้นำกัมพูชาจึงมักนำเรื่องชายแดนหรือผลประโยชน์กับประเทศเพื่อนบ้านมาใช้เป็นกลไกสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง
4. ภูมิรัฐศาสตร์: กัมพูชาในวงล้อมมหาอำนาจ
กัมพูชาเป็นเหมือน “ประเทศวงใน” ที่ต้องคอยถ่วงดุลระหว่างอำนาจใหญ่เสมอ
ทั้งไทย เวียดนาม จีน และ (ในอดีต) สหรัฐฯ ต่างแทรกแซงและแข่งขันอิทธิพลในกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง
ยุคสงครามเย็น กัมพูชาเคยเป็น “สนามรบตัวแทน” (Proxy War) และจุดชนวนให้เกิดความไม่มั่นคงตลอดหลายทศวรรษ
ปัจจุบัน จีนถือเป็นผู้เล่นสำคัญในกัมพูชา ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการทหาร
การเลือกข้างหรือการพยายามถ่วงดุลมหาอำนาจของกัมพูชา มักนำไปสู่ความไม่ไว้ใจจากประเทศเพื่อนบ้านและปัญหาตามแนวชายแดน
ความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้ยิ่งทำให้ปมขัดแย้งกับเพื่อนบ้านแก้ไขได้ยากขึ้น
5. ประชาชนชายแดน: เหยื่อของความขัดแย้งไร้ที่สิ้นสุด
แม้ข้อพิพาทส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ระดับรัฐหรือรัฐบาล แต่ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงกลับเป็นชุมชนคนธรรมดาตามชายแดน
ชีวิตของพวกเขาต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน การย้ายถิ่น ความกลัว ภาวะขาดแคลน และการถูกจำกัดเสรีภาพ
ขณะที่การเมืองระดับสูงยังคงใช้พวกเขาเป็น “หมาก” ในเกมต่อรองผลประโยชน์
6. วัฒนธรรมแห่งความหวาดระแวงและความทรงจำร่วม
ปัญหาระหว่างกัมพูชากับเพื่อนบ้านไม่ได้มีแค่ในสายตานักการเมือง
แต่มันฝังรากลึกในวัฒนธรรม ความทรงจำร่วม นิทานพื้นบ้าน และวรรณกรรม
สังคมแต่ละฝ่ายมี “เรื่องเล่า” ของตัวเองเกี่ยวกับการสูญเสีย ชัยชนะ หรือการถูกรังแก
เรื่องเล่าเหล่านี้มักถูกถ่ายทอดซ้ำ ๆ และสร้างอคติระหว่างประชาชนของแต่ละประเทศ
7. สรุป: จะออกจากกับดักความขัดแย้งนี้ได้หรือไม่?
ปัญหาระหว่างกัมพูชากับเพื่อนบ้านเป็นเรื่องที่ “ไม่มีคำตอบเดียว” และยากจะแก้ไขในระยะสั้น
ตราบใดที่ปมเขตแดน ชาติพันธุ์ อัตลักษณ์ และการเมืองระดับสูงยังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางอำนาจ
ประเทศเหล่านี้ก็อาจวนอยู่ในวงจรความขัดแย้งเดิม
แต่เมื่อสังคมกล้าเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์ เปิดใจต่อข้อเท็จจริงและความรู้สึกร่วมของกันและกัน
ขบวนการสร้างสันติภาพและความร่วมมือก็ยังเป็นไปได้
หากเริ่มต้นจาก “คนธรรมดา” ตามชายแดน—ที่ต้องการเพียงแค่ความมั่นคง เสรีภาพ และการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพในศักดิ์ศรีของกันและกัน